วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีเติม ing ที่กริยา

1. กริยาชนิดธรรมดาเติม ing ข้างท้ายเช่น learn - learning, speak - speaking, eat - eating, drink - drinking
2. กริยาที่มีเสียงสั้นเติมตัวสุดท้ายซ้ำอีก 1 ตัว แล้วจึงเติม ing เช่น sit - sitting, cut - cutting, put - putting, run - running
3. กริยาลงท้ายด้วย e เพียงตัวเดียว ให้ตัด e ทิ้งแล้วจึงเติม ing เช่น come - coming, write - writing, hide - hiding, ride - riding
(ถ้ามี e สองตัวไม่ต้องตัดทิ้งเช่น see - seeing, flee - fleeing)
4. กริยาตัวใดที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y ก่อนแล้วจึงเติม ing เช่น die - dying, tie - tying, lie - lying

Present Continuous Tense : ปัจจุบันกำลังกระทำอยู่การ


           Tense นี้จำเป็นต้องมี is, am และ are เป็นกริยานุเคราะห์ทุกครั้ง และกริยาสำคัญของประโยคจะต้องเติม ing ทุกครั้งเช่นกัน


เอกพจน์ พหูพจน์
บุรุษที่ 1 I am learning. We are learning.
บุรุษที่ 2 You are learning. You are learning.
บุรุษที่ 3 Hi is learning.
She is learning.
It is learning.


They are learning.
          การเปลี่ยนประโยคชนิดนี้ให้เป็นประโยคคำถาม ให้วางกริยานุเคราะห์ไว้หน้าประธานของประโยค และเมื่อจะเปลี่ยนให้เป็นประโยคปฏิเสธ เติม not หลังกริยานุเคราะห์ เช่น

ประโยคบอกเล่า
(Affirmative Sentence)
ประโยคคำถาม
(Interrogative Sentence)
ประโยคปฏิเสธ
(Negative Sentence)
He is going home.
เขากำลังกลับบ้าน
Is he going home?
เขากำลังไปบ้านหรือ
He is not going home?
เขากำลังไม่ไปบ้าน
They are playing.
เขาทั้งหลายกำลังเล่น
Are they playing?
เขาทั้งหลายกำลังเล่นหรือ
They are not playing?
เขาทั้งหลายกำลังไม่เล่น

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีเติม s ที่กริยา

1. กริยาชนิดธรรมดา เติม s ข้างท้าย เช่น learn - learns, speak - speaks, sit - sits
2. กริยาที่ลงท้ายด้วย o, ss, s, x, ch, sh เติม es เช่น do - does, go - goes, miss - misses, mix - mixes, watch     - watches, wish - wishes
3. กริยาที่ลงท้ายด้วย y และมีพยัญชนะนำหน้า ให้เปลี่ยน y เป็น ie ก่อน แล้วจึงเติม s เช่น cry - cries, dry - dries, try - tries, supply - supplies, fly - flies (แต่ถ้าหน้า y เป็น สระเติม s ได้ทันที เช่น play - plays)
miss (มิซซ์) = ผิด,พลาด
mix (มิกซ์) =ผสม
watch (วอช) =เฝ้าดู
wish (วิช) = ปรารถณา
fly (ฟลาย) =บิน
cry (คราย) =ร้องไห้
dry (ดราย) =ทำให้แห้ง
try (ทราย) พยายาม
supply (ซัพพลาย) =จัดหา

สรรพนามที่เป็นประธานและกรรม

สรรพนามที่เป็นประธานและกรรม
Subject (ประธาน)
Object (กรรม)
I ฉัน
You ท่าน
He เขา (ผู้ชาย)
She เขา(ผู้หญิง)
It มัน
We เรา
They เขา (ทั้งหลาย
Me
You
Him
Her
It
Us
them
I know that boy.          (I=ประธาน)
ฉันรู้จักเด็กชายคนนั้น

That boy knows me.   (me=กรรม)
เด็กชายคนนั้นรู้จักฉัน

You know that boy.
ท่านรู้จักเด็กชายคนนั้น

That boy know you.     (you=เป็นทั้งประธานและกรรม)
เด็กชายคนนั้นรู้จักท่าน

He knows that boy.      (He=เป็นประธาน)
เขา(ผู้ชาย)รู้จักเด็กชายคนนั้น

That boy knows him.   (him=กรรม)
เด็กชายคนนั้นรู้จักเขา (ผู้ชาย)

She knows that boy.     (she=ประธาน)
เขา(ผู้หญิง)รู้จักเด็กชายคนนั้น

That boy knows her.     (her=กรรม)
เด็กชายคนนั้นรู้จักเขา(ผู้หญิง)

It knows that boy.
มันรู้จักเด็กชายคนนั้น

That boy knows it.    (it=เป็นได้ทั้งประธานและกรรม)
เด็กชายคนนั้นรู้จักมัน

We knows that boy.    (We=ประธาน)
พวกเรารู้จักเด็กชายคคนั้น

That boy knows us.    (us=กรรม)
เด็กชายคนนั้นรู้จักพวกเรา

They knows that boy.     (They=ประธาน)
เขาทั้งหลายรู้จักเด็กชายคนนั้น

That boy knows them.    (them=กรรม)
เด็กชายคนนั้นรู้จักเขาทั้งหลาย

Do not, Does not : ไม่, Cannot : ไม่ได้

          He does not speak English. แปลว่า เขาไม่พูดภาษาอังกฤษ หมายความว่า เขาพูดได้ แต่เขาไม่พูด He cannot speak English. เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หมายความว่า เขาอยากที่จะพูด แต่ไม่สามารถพูดได้ คำว่า ไม่ อยู่หน้ากริยาหมายความว่าสิ่งที่ทำได้ แต่ไม่ทำ คำว่า ไม่ได้ อยู่หลัง กริยา หมายความว่าสิ่งที่อยากจะทำแต่ทำไม่ได้ เช่น He does not swim. เขาไม่ว่ายน้ำ หมายความว่า เขาว่ายน้ำไม่ได้ แต่เขาไม่ว่าย He cannot swim. เขาว่ายน้ำไม่ได้ หมายความว่า เขาอยากจะว่ายน้ำ แต่เขาว่ายไม่เป็น

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลักการเติม s ที่กริยา

1. ประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (สิ่งเดียว ตัวเดียว อันเดียว)
2. ประธานของประโยคเป็นบุรุษที่ 3
3. ต้องเป็นเรื่องปัจจุบัน
หากไม่ครบหลัก 3 ประการตามที่กล่าวมาแล้วไม่ต้องเติม s ที่กริยา
ประโยคที่เป็นปัจจุบันประธานที่เป็นเอกพจน์ และบุรุษที่ 3 แต่ถ้ามีกริยานุเคราะห์อยู่ในประโยคนั้น กริยาไม่ต้องเติม s เช่น
          He speaks English. (ไม่มีกริยานุเคราะห์)
          เขาพูดภาษาอังกฤษ
          He can speak English. (มีกริยานุเคราะห์ไม่ต้องเติม s ที่กริยา)
          เขาพูดภาษาอังกฤษได้
การเปลี่ยนประโยคที่เป็น Present tense ให้เป็นประโยคคำถาม ให้ดูว่าประธานของประโยค เป็นเอกพจน์หรือเปล่า เป็นบุรุษที่ 3 หรือเปล่า ถ้าเป็นทั้งเอกพจน์และบุรุษที่ 3 และไม่มีกริยานุเคราะห์ในประโยคนั้น ต้องใช้ Does นำหน้าประธาน และกริยาไม่ต้องเติม s เช่น
ประโยคบอกเล่า
ประโยคคำถาม
He comes here.
เขามาที่นี่
Your dog barks at that stranger.
สุนัขของคุณเห่าคนแปลกหน้าคนนั้น
Does he come here?
เขามาที่นี่หรือ?
Does Your dog bark at that stranger?
สุนัขของคุณเห่าคนแปลกหน้าคนนั้นหรือ?
ถ้าประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ แต่ไม่ใช่บุรุษที่ 3 หรือเป็นบุรุษที่ 3 แต่ไม่ใช่เอกพจน์ เมื่อจะทำให้เป็นประโยคคำถามใช้ Do นำหน้าประธานของประโยคเช่น 
ประโยคบอกเล่า
ประโยคคำถาม
You like this rose.
คุณชอบดอกกุหลาบดอกนี้
Do you like this rose?
คุณชอบดอกกุหลาบดอกนี้ไหม?
สำหรับประโยคปฏิเสธ ก็คงถือหลักเช่นเดียวกัน คือถ้าประธานของประโยคเป็นทั้งเอกพจน์และบุรุษที่ 3 คำว่า ไม่ ใช้ does not ถ้าเป็นเอกพจน์แต่ไม่ใช่บุรุษที่ 3 หรือ เป็นบุรุษที่ 3 แต่ไม่ใช่เอกพจน์ คำว่า ไม่ ต้องใช้ do not เช่น
         I do not smoke a cigarettes. (I เป็นเอกพจน์แต่ไม่ใช่บุรุษที่ 3 )
         ผมไม่สูบบุหรี่
         They do not smoke a cigarettes. (They เป็นบุรุษที่ 3 แต่ไม่ใช่เอกพจน์)
         เขาทั้งหลายไม่สูบบุหรี่
         My friend does not smoke a cigarettes. (My friend เป็นทั้งเอกพจน์และบุรุษที่ 3)
         เพื่อนของฉันไม่สูบบุหรี่

Present Tense : ปัจจุบันการ


เอกพจน์
พหูพจน์
บุรุษที่ 1
I learn.
We learn.
บุรุษที่ 2
You learn.
You learn.
บุรุษที่ 3
He learns.
She learns.
It learns.

They learn.
บุรุษที่ 1 หมายถึง ผูพูด กริยาไม่ต้องเติม s
บุรุษที่ 2 หมายถึง ผู้ฟัง กริยาไม่ต้องเติม s
บุรุษที่ 3 หมยถึง ผู้ที่ถูกพูดถึง เอ่ยถึง ถ้าเป็นคนเดียว ตัวเดียว อันเดียว สิ่งเดียว กริยาจะต้อง                   เติม s

What, Which : อะไร

What : อะไร ใช้เป็นการถามอย่างปกติ เช่น 
          What will you drink?
          ท่านจะดื่มอะไร?
          What does he buy?
          เขาซื้ออะไร?
แต่ถ้าจะถามว่า ท่านจะดื่มอะไร กาแฟหรือน้ำชา? คำว่า อะไร ในประโยคนี้จะใช้ What ไม่ได้ เพราะเกี่ยวกับการเลือกระหว่างกาแฟหรือน้ำชา จำเป็นต้องใช้ Which ฉะนั้นท่านจะดื่มอะไร กาแฟหรือน้ำชา จะต้องพูดว่า Which will you drink coffee or tea? ในทำนองเดียวกัน ท่านกำลังซื้ออะไร ปากกาหรือดินสอดำ? จะต้องถามว่า Which are you buying a pen or pencil?


้How much, How many : เท่าไร

How much : เท่าไร ใช้กับคำนามที่นับไม่ได้ เช่น
          How much ink do you want?
          คุณต้องการน้ำหมึกเท่าไร?
          How much water is there in that jar?
          มีน้ำเท่าไรในตุ่มนั้น?

ส่วน How many : เท่าไร ใช้กับคำนามที่นับได้ เช่น
          How many many boys are there in that room?
          มีเด็กกี่คนในห้องนั้น?
          How many glasses did that boy break?
          เด็กคนนั้นได้ทำถ้วยแก้วแตกกี่ใบ?

Much, Many : มาก

          คำว่า มาก ที่นับไม่ได้ต้องใช much แต่ถ้ามากที่นับได้ต้องใช้ many เช่น
          There is much water in that jar.
          มีน้ำมากในตุ่มนั้น
          There are many good books in that bookshop.
          มีหนังสือดีๆ (จำนวน) มากในร้านหนังสือร้านนั้น

No, Not :ไม่

          คำว่า ไม่ ในภาษาอังกฤษมีอยู่ 2 คำคือ no กับ not แต่มีการใช้ต่างกัน no ใช้กับคำนามที่ไม่แสดงจำนวน ส่วน not ใช้กับคำนามที่แสดงจำนวน เช่น 
          This boy has no book to read.
          เด็กคนนี้ไม่มีหนังสือที่จะอ่าน (ไม่แสดงจำนวนของหนังสือ)
          That boy has not a book to read. 
          เด็กคนนั้นไม่มีหนังสือที่จะอ่านสักเล่มเดียว (แสดงจำนวนของหนังสือ)
         แต่ถ้าในประโยคนั้นมีคุณศัพท์ เช่น any = บ้าง, enough = เพียงพอ, much = มาก คำว่า่ไม่ต้องใช้ not เสมอไป เช่น
          There is not any book on the shelf.
          ไม่มีหนังสือบนหิ้งบ้างเลย
          This poor boy has not enough food ta eat.
          เด็กยากจนคนนี้ไม่มีอาหารเพียงพอที่จะรับประทาน
          I have not much money in may pocket.
          ฉันมีเงินไม่มากในกระเป๋าของฉัน

There is, There are : มี

         คำว่า มี มีสองชนิดคือ มีที่แสดงเจ้าของชนิดหนึ่ง กับมีที่ไม่แสดงเจ้าของอีกชนิดหนึ่ง มีที่แสดงเจ้าของต้องใช้ has หรือ have เช่น ฉันมี I have เขามี He has ส่วนมีที่ไม่แสดงเจ้าของจะใช้ has หรือ have ไม่ได้ ต้องใช้ There is หรือ There are แทน ถ้ามีของเพียงสิ่งเดียวใช้  There is แต่ถ้ามากกว่าหนึ่งขึ้นไปต้องใช้ There are เช่น
There is rain now. มีฝนเดี๋ยวนี้ (ฝนนับไม่ได้ เป็นเอกพจน์)
There are two boy in that room. มีเด็กชายสองคนในห้อง
         เมื่อจะเปลี่ยนให้เป็นประโยคคำถาม There is ต้องเปลี่ยนเป็น Is there และ There are ต้องเปลี่ยนเป็น Are there ถ้าจะเป็นประโยคปฏิเสธต้องใส่  not ไว้หลัง is หรือ are เช่น
There is not a shirt in the wardrobe ไม่มีเสื้อเชิ๊ตสักตัวในตู้เสื้อผ้า

Verb to have กริยาซึ่งแปลว่า มี


เอกพจน์
พหูพจน์
บุรุษที่ 1
I have
We have
บุรุษที่ 2
You have
You have
บุรุษที่ 3
He has
She has
It has

They have
          คำว่า มี ภาษาอังกฤษใช้ has กับ have สุดแต่ว่าประธานของประโยคจะเป็นใคร ถ้าฉันมี หรืท่านมีต้องใช้ I have และ You have เสมอไป นอกเหนือจากฉัน I ท่าน YOU ถ้าประธานของประโยคเป็นเอกพจน์โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นใคร คำว่า มี ต้องใช้ has แต่ถ้าประธานของประโยคเป็นพหูพจน์ต้องใช้ have
          การเปลี่ยน Verb to have ให้เป็นประโยคคำถามหรือประโยคปฏิเสธ ก็มีวิธีใช้เช่นเดียวกับ Verb to be ตามที่กล่าวมาแล้วคือ ให้วาง has หรือ have ซึ่งเป็นกริยาสำคัญไว้หน้าประธานก็จะกลายเป็นประโยคคำถาม ถ้าจะเปลี่ยนเป็นประโยคปฏิเสธก็ต้องเติม not หลัง has หรือ have เช่น
ประโยคบอกเล่า
ประโยคคำถาม
ประโยคปฏิเสธ
He has a car.
เขามีรถหนึ่งคัน
Has he a car.?
เขามีรถคันหนึ่งหรือ?
He has not car.
เขาไม่มีรถคันหนึ่ง
You have a bank note.
คุณมีธนบัตร 1 ฉบับ
Have you a bank note?

คุณมีธนบัตร 1 ฉบับหรือ?
You have not a bank note.
คุณไม่มีธนบัตร 1 ฉบับ

วิธีใช้ be

          คำว่าเป็นหรืออยู่ นอกเหนือจาก is am are ยังมีอีกคำหนึ่งคือ be ซึ่ง be มีวิธีใช้แตกต่างจาก  is am are โดย is am are ใช้เป็นกริยาสำคัญของประโยค แต่ be ใช้เป็นกริยาตัวที่สองของประโยค หรือใช้ตามหลังกริยานุเคราะห์ เช่น He wants to be an aviator. เขาตัองการเป็นนักบิน want ในประโยคนี้เป็นกริยาตัวที่หนึ่ง โดยมี be ซึ่งแปลว่าเป็น เป็นกริยาตัวที่สอง He can be my friend. He is a good man. เขาเป็นเพื่อนของฉฮันได้ เขาเป็นคนดี be ใช้ตามหลัง can ซึ่งเป็นกริยานุเคราะห์

วิธีใช้ is, am & are

          คำว่า เป็น อยู่ ภาษาอังกฤษใช้ is, am หรือ are สุดแล้วแต่ว่าปรพธานของประโยคจะเป็นใคร ถ้าฉันเป็นหรือฉันอยู่ จขะต้องใช้ I am เสมอไป ท่านเป็นหรือท่านอยู่ ต้องใช้ You are เสมอไปเช่นกัน นอกเหนือจาก I และ You ถ้าประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ ต้องใช้ is โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นบุคคล สิ่งของ หรือสัตว์ ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ are เช่น เด็กคนนี้เป็น This boy is. เด็กเหล่านี้เป็น These boy are. คำว่า ไม่ใช่ เมื่อเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษจะต้องพูดว่า ไม่เป็น เช่น I am his friend. ฉันเป็นเพื่อนของเขา I am not his friend. ฉันไม่ใช่เพื่อนของเขา An eel is not a snake. It is a fish. ปลาไหลไม่ใช่งู มันเป็นปลา

Verb to be กริยาที่แปลว่า เป็น หรือ อยู่

เอกพจน์
พหูพจน์
บุรุษที่ 1
I am.
We are.
บุรุษที่ 2
You are.
You are.
บุรุษที่ 3
He is.
She is.
It is.

They are.
          คำว่า is, am และ are สามตัวนี้เป็น Verb to be เป็นกริยาที่เเปลว่าเป็นหรืออยู่ แต่มีการใช้แตกต่างกัน is ใช้กับประธานที่เป็นเอกพจน์โดยไม่มีจำกัดว่าเป็นบุคคล สัตว์ หรือสิ่งของ ส่วน are ใช้กับประธานที่เป็นพหูพจน์ โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นใคร ส่วน am ใช้กับ i โดยเฉพาะ เช่น
          เอกพจน์                                                       พหูพจน์
A boy is in that room.                          Two boys are that room.
เด็กชายหนึ่งคนอยู่ในห้องนั้น              เด็กชาย 2 คนอยู่ในห้องนั้น
I am hear                                             We am hear
ฉันอยู่ที่นี่                                             พวกเราอยู่ที่นี่
Present
Past Tense
is.....
was
am.....
was
Are....
were


They are hear now.                       They were here half an hour ago.
เขาทั้งหลายอยู่ที่นี่                       เขาทั้งหลายได้อยู่ที่นี่เมื่อครี่งชั่วโมงก่อน
I am his friend now.                       I was his friend five years ago.
ฉันเป็นเพื่อนของเขา เดี๋ยวนี้         ฉันได้เป็นเพื่อนของเขาเมื่อ 5 ปีก่อน
กริยาที่เปลว่าเป็นหรืออยุ่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Verb to be การเปลี่ยนประโยคชนิดนี้ให้เป็นประโยคคำถาม จะต้องวาง Verb to be ไว้หน้าประธานของประโยค ถ้าเปลี่ยนเป็นประโยคปฏิเสธเติม not ไว้หลัง Verb to be เช่น
ประโยคบอกเล่า
ประโยคคำถาม
ประโยคปฏิเสธ
He is there.
เขาอยู่ที่นั่น
Is he there?
เขาอยู่ที่นั่นหรือ?
He is not there.
เขาไม่อยู่ที่นั่น
You are his friend.
ท่านเป็นเพื่อนของเขา
Are you his friend?
ท่านเป็นเพื่อนของเขาหรือ?
You are not his friend.
ท่านไม่ใช่เพื่อนของเขา
It is his house.
มันเป็นบ้านของเขา
Is it his house?
มันเป็นบ้านของเขาหรือ?
It is not his house.
มันไม่ใช่บ้านของเขา
 

ความสําคัญของการใช้ภาษาอังกฤษ


          ความสําคัญของการใช้ภาษาอังกฤษ

           หากถามว่าทำไมถึงควรรู้ภาษาอังกฤษ คำตอบคือเพราะการรู้ภาษาอังกฤษเพียงหนึ่งภาษา คุณสามารถติดต่อสื่อสารผู้คนบนโลกนี้ได้กว่าพันล้านคนซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมาจากประเทศยักษ์ใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และด้านอื่นๆของสังคมโลกในยุคปัจจุบันอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาหลักที่คนต่างชาติต่างภาษานิยมใช้เพื่อการสื่อสารระหว่างประเทศกันมากที่สุด จนหลายคนนิยามภาษาอังกฤษว่าเป็นภาษานานาชาติ (International Language) หรือ ภาษาสากล (Global Language)ทุกวันนี้มีประเทศต่างๆกว่า 50 ประเทศทั่วโลกได้ประกาศให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ  อีกทั้งองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ ก็ยังให้ภาษาอังกฤษเป็น 1 ในภาษาหลักสำหรับการสื่อสารด้วยเหตุผลต่างๆที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คือคำตอบว่า  ทำไมคนที่รู้ภาษาอังกฤษจึงหางานได้ง่ายกว่า  มีโอกาสได้งานและเงินเดือนที่ดีกว่า  มีโอกาสเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้มากกว่า  และเป็นที่ต้องการขององค์กรขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ
คุณรู้ภาษาอังกฤษ  =  คุณเข้าถึงผู้คนบนโลกใบนี้ได้กว่า 1พันล้านคน
          หากคุณรู้ภาษาไทยเพียงภาษาเดียว  คุณสามารถติดต่อสื่อสารได้เฉพาะคนไทยเท่านั้นซึ่งมีอยู่ประมาณ 60 ล้านคน  แต่หากคุณรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มอีกหนึ่งภาษา  ตอนนี้คุณสามารถติดต่อผู้คนได้ประมาณ 1,100 ล้านคนทั่วโลกข้อมูลจาก Wikipedia ระบุว่ามีคนประมาณ 380 ล้านคนพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่หรือภาษาแรก (First Language) ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา  อังกฤษ  แคนาดา  ออสเตรเลีย  นิวซีแลนด์  ไอร์แลนด์ ฯลฯนอกจากนี้ยังมีคนอีกประมาณ 720 ล้านคนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง (Second Language)  ส่วนใหญ่มาจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการร่วมกับภาษาอื่นๆ  เช่น  ประเทศอินเดีย  แอฟริกาใต้  ฟิลิปปินส์  สิงคโปร์  เป็นต้น  รวมแล้วคนบนโลกใบนี้สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ประมาณ 1,100 ล้านคน  โดยมี  53 ประเทศทั่วโลกใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ประมาณปี 2020 จะมีคนเรียนภาษาอังกฤษทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 2 พันล้านคน เดวิด แกรดดอล (Davis Graddol) นักภาษาศาสตร์ประยุกต์ชาวอังกฤษผู้ทำงานวิจัยเรื่อง “English Next (2006)” ให้กับ British Council กล่าวถึงแนวโน้มของภาษาอังกฤษว่า  นับจากนี้ไปจำนวนผู้เรียนภาษาอังกฤษทั่วโลกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  และคาดว่าในอีก 10 – 15 ปีข้างหน้า (ประมาณปี 2015 – 2020) จำนวนผู้เรียนจะเพิ่มสูงสุดถึง 2 พันล้านคน  ข้อมูลจากงานวิจัยนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนบนโลกนี้ต่างตระหนักถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษในสังคมโลกยุคใหม่